โรงแรมความหมายและประเภทของโรงแรม

โรงแรมคืออะไร?



Hotel Accommodation


กฎหมายเกี่ยวกับโรงแรมของประเทศอังกฤษได้ให้คำจำกัดความหมายของคำว่า “โรงแรม

หรือ hotel ว่าเป็น “สถานที่ซึ่งให้บริการด้านอาหารและเครื่องดื่มและที่พักหลับนอนแก่ผู้เดินทางที่ ต้องการ มีเงินและเต็มใจจะจ่ายเงินค่าบริการและสิ่งอ านวยความสะดวกต่าง ๆ ที่จัดให้


(An establishment offering food and drink and sleeping accommodation if so required to

any traveler who appears able and willing to pay for services and facilities provided.


ดังตามความหายดังกล่าว โรงแรมนอกจากจะเป็นที่พักแล้ว ยังมีบริการท้ังด้านอาหารเครื่องดื่มและ

ที่พักให้แก่แขกที่เข้ามาพัก โดยจะต้องอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆให้กับผู้เข้าพัก


ความหมายของโรงแรมของไทย 

มีปรากฏอยู่ใน กฎหมาย พระราชบัญญัติโรงแรม พุทธศักราช 2478 ซึ่งได้ให้คำจำกัดความของ “โรงแรม” ในมาตรา 3 ไว้ว่า

โรงแรม หมายความว่า บรรดาสถานที่ทุกชนิดที่จัดต้ังขึ้นเพื่อรับสินจ้างสำหรับคนเดินทาง

หรือบุคคลที่ประสงค์จะหาที่อยู่หรือที่พักชั่วคราว


ประเภทของโรงแรม

ความหมายของคำว่า ” โรงแรม” หากกล่าวโดยความหมาย คือ สถานที่ ที่เปิดให้คนเข้าไปเช่าพักเป็นการชั่วคราว มีอยู่หลายประเภทด้วยกัน และมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามลักษณะ เช่น

โรงแรมขนาดใหญ่ โรงแรมขนาดกลาง โรงแรมขนาดเล็ก โรงแรมสำหรับผู้เดินทางโดยรถยนต์ (motel) โรงแรมประจำท่าอากาศยาน (Airport hotel) เกสท์เฮาส์ และ (Guest house) เป็นต้น


ผู้ที่เข้าพักโรงแรม อาจจะมีหลายประเภท จำแนกตามพื้นที่ที่โรงแรมนั้นตั้งอยู่ เช่นถ้าโรงแรมนั้นตั้งอยู่ในย่านกลางเมือง กลุ่มลูกค้าหรือผู้ที่เข้าพักอาจจะหลากหลาย เช่นผู้ที่มาท่องเที่ยวในตัวเมือง นักธุรกิจที่เดินทางมาทำธุรกิจในเมืองนั้น หรือนักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวในย่านหรือพื้นที่นั้นเพื่อความสะดวกในการเดินทางทั้งเดินทางไปที่ๆต้องการและเดินทางกลับ แต่ถ้าเป็นโรงแรมที่ตั้งอยู่บนถนนหลวงสายต่างผู้เข้าพักอาจจะเป็นผู้ที่ใช้เส้นทางสัญจรแล้วต้องการแวะพักผ่อนเพื่อเดินทางต่อไปในวันรุ่งขึ้น ส่วนโรงแรมและที่พักประเภทรีสอร์ท ซึ่งตั้งอยู่ในสถานที่ท่องเที่ยว กลุ่มลูกค้าหรือผู้เข้าพักอาจจะเป็นนักท่องเที่ยวเป็นส่วนใหญ่


การแบ่งกลุ่มหรือประเภทของโรงแรมอาจจะแบ่งได้ดังนี้

1. การแบ่งกลุ่มโรงแรมตามขนาด

ขนาดหรือจำนวนห้องพักที่โรงแรมมีอยู่เป็นวิธีจัดกลุ่มหรือแยกประเภทโรงแรมได้อย่างหนึ่งอาทิเช่น

-โรงแรมที่ขนาดห้องพักต่ำกว่า 100 ห้อง ถือว่าเป็นโรงแรมขนาดเล็ก

-โรงแรมที่มีขนาดห้องพัก 100-300 ห้อง ถือว่าเป็นโรงแรมขนาดปานกลาง

-โรงแรมที่มีขนาดห้องพักห้องตั้งแต่ 300 ห้อง ขึ้นไปถือว่าเป็นโรงแรมขนาดใหญ่


2.การแบ่งกลุ่มโรงแรมออกตามเป้าหมายทางการตลาด

2.1 โรงแรมประเภทธุรกิจ (Commercial Hotels)

โรงแรมประเภทธุรกิจโดยทั่วไปจะต้ังอยู่ในตัวเมืองหรือเขตที่มีร้านค้า/บริษัทธุรกิจต้ังอยู่

หนาแน่น ซึ่งเป็นบริเวณที่สะดวกต่อการติดต่องานของแขกซึ่งเป็นนักธุรกิจ โรงแรมประเภทนี้มี

จำนวนโรงแรมมากกว่าประเภทอื่น ๆ และมุ่งขายห้องพักแก่นักธุรกิจเป็นหลัก อย่างไรก็ดี

นักท่องเที่ยวที่มาเป็นกรุ๊ป นักท่องเที่ยวทั่วไป และกลุ่มประชุมสัมมนาก็ชอบโรงแรมประเภทนี้ด้วย

เหมือนกัน ในสมัยก่อนโรงแรมประเภทธุรกิจนี้ถือว่าเป็นโรงแรมประเภทพักชั่วคราว หรือ

Transient hotels เพราะระยะเวลาพักของแขก (length of guest stays) ส้ันกว่าในโรงแรมประเภท

อื่นๆ

ส่วนใหญ่บริการสำหรับแขกในโรงแรมประเภทธุรกิจ จะมีหนังสือพิมพ์ให้ฟรี เสริฟกาแฟ

ตอนเช้า มีโทรศัพท์ โทรทัศน์ระบบเคเบิ้ลทีวี บริการให้เช่ารถ บริการรับ-ส่ง ประชุม ห้องพัก

แบบห้องชุด ปละบริการจัดเลี้ยง และบางโรงแรมอาจมีศูนย์สุขภาพ ฟิตเน็ต ห้องอาบน้ า แบบเซาน่า และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆเป็นต้น


2.2 โรงแรมประจำท่าอากาศยาน (Airport Hotels)

โรงแรมประเภทนี้จะต้ังอยู่ใกล้กับท่าอากาศยานหรือสนามบิน โดยเฉพาะท่าอากาศยานนานาชาติ ลูกค้าที่เข้าพักส่วนใหญ่จะเป็นนักธุรกิจ ผู้โดยสารเครื่องบินที่จำเป็นต้องพักค้างคืนเพราะมีการยกเลิกเที่ยวบินหรือเครื่องบินมีปัญหาขัดข้องต้องเลื่อนกำหนดออกบิน(Flight Delay) หรือผู้โดยสารที่จำเป็นต้องพักรอเพื่อต่อเที่ยวบินอื่นตลอดจนเจ้าหน้าที่สายการบินต่างๆ โรงแรมประเภทนี้จะมีรถบริการระหว่างสนามบินกับโรงแรมและส่วนใหญ่จะมีห้องประชุมเพื่อบริการแก่แขกที่เดินทางมาประชุมแต่ไม่ต้องการเสียเวลาในการเดินทางเข้าเมือง ซึ่งทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลา


2.3 โรงแรมประเภทห้องชุด (Suite Hotels)

 โรงแรมประเภทนี้จะมีห้องพักที่เป็นห้องชุดล้วนๆ คือ เป็นห้องพักที่มีห้องรับแขกแยก

ออกจากห้องนอน บางแห่งก็อาจจะมีห้องครัวเล็ก ๆ ให้ โดยมีตู้เย็นและเครื่องดื่มต่าง ๆ จัดให้พร้อม

อยู่ภายในห้องพักน้ันเอง การที่ให้พื้นนที่ใช้สอยภายในห้องพักแขกมากขึ้น ทำพื้นนที่ที่แขกใช้ร่วมกัน

ภายในโรงแรมน้อยลงกว่าปกติ

โรงแรมประเภทนี้ได้รับความนิยมจากแขกหลายกลุ่ม กลุ่มหนึ่งคือพวกที่กำลังเปลี่ยนที่

อยู่ ซึ่งใช้โรงแรมเป็นที่พักชั่วคราว ส่วนกลุ่มคนที่ต้องเดินทางบ่อย ๆ ก็ชอบโรงแรมประเภทนี้

เพราะให้คามรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน พวกที่มาพักผ่อนก็ชอบเพราะเห็นว่ามีความเป็นส่วนตัวและก็

สะดวกดี 


2.4 โรมแรมประเภทพักอาศัย (Residential Hotels)

ได้แก่โรงแรมประเภทที่ให้เช่าพังช่วงยาวแก่แขกที่ส่วนใหญ่มาพักคนเดียวโดยมี

บริการต่าง ๆ ที่ค่อนข้างจำกัดกว่าโรงแรมทั่วๆ ไปคล้ายๆกับห้องพักหรือบ้านพัก


2.5 โรงแรมเพื่อการพักผ่อน (Resort Hotels)

โรงแรมประเภทรีสอร์ทมักจะตั้งอยู่ในสถานที่เฉพาะที่มักจะอิงกับธรรมชาติเช่นทะเล แม่น้ำ หรือ เช่น รีสอร์ทบนเขา หรือป่า รีสอร์ทติดทะเล รีสอร์ทบนเกาะ รีสอร์ทริมแม่น้ำเป็นต้น โดยจะมีทิวทัศน์ที่สวยงามอิงธรรมชาติ เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเข้าพักแบบไปพักผ่อน 


2.6 โรงแรมประเภทให้บริการที่พักกับอาหารเช้า (Bed and Breakfast Hotels)

บางทีก็เรียกย่อ ๆ ว่า B & B ประเภทนี้ได้แก่บ้านหรืออาคารขนาดเล็กที่มีไม่กี่ห้อง

นำมาดัดแปลงเป็นที่พักค้างคืนของผู้เดินทาง เจ้าของสถานที่จะพักอาศัยอยู่ในโรงแรมน้ันเองและ

เป็นผู้จัดการด้านอาหารเช้าให้แก่แขกด้วยตนเอง ด้วยบริการแบบง่าย ๆ ราคาค่าห้องของโรงแรมประเภทนี้จึงค่อนข้างถูกกว่าโรงแรมประเภทอื่น


2.7 โรงแรมประเภทแบ่งเวลาและประเภทคอนโดมิเนียม (Time –Share and

Condominium Hotels)

มีลักษณะเป็นการซื้ออความเป็นเจ้าของห้องพักเป็นบางช่วง (purchase the ownership of

accommodations for a specific period of time) ซึ่งปกติจะเป็นระยะเวลา 1 หรือ 2 สัปดาห์ต่อปี

ในช่วงเวลาดังกล่าว คนที่เป็นเจ้าของจะมีสิทธิครอบครองห้องพักของตน ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็น

ห้องพักในคอนโดมิเนียม เจ้าของห้องอาจจะนำห้องพักของตนไปให้คนอื่นเช่าก็ได้โดยผ่านบริษัท

ที่บริหารโรงแรมน้ันอยู่ โดยที่บริการต่าง ๆ ก็เหมือนโรงแรมทั่วไปนั่นเองทำให้แขกไม่ทราบว่าที่ตน

มาพักอยู่น้ันเป็นโรงแรมประเภท Time –share โรงแรมประเภทน้ีจะเป็นที่นิยมมากเป็นพิเศษใน

กรณีที่ต้ังอยู่ในท้องที่ห่างไกล ซึ่งเจ้าของห้องอาจจะไปพักเพียงปีละ 2-3 สัปดาห์เท่าน้ัน วิธีนี้จึงคุ้ม

กว่า การที่จะซื้ออห้องไว้เป็นเจ้าของคนเดียว


โรงแรมแบบคอนโดมิเนียมก็คล้ายคลึงกับประเภทแบ่งเวลา จะต่างกันก็ตรงสภาพ

ความเป็นเป็นเจ้าของห้อง คือแบบคอนโดมิเนียมแต่ละห้องจะมีเจ้าของคนเดียว ในขณะที่แบบแบ่ง

เวลาจะมีเจ้าของหลายคน ในกรณีของคอนโดมิเนียมเจ้าของห้องจะบอกผู้บริหารอาคารว่าตนเองจะ

พักวันไหนบ้าง และวันที่เหลือนอกน้ันก็ให้เช่าแก่บุคคลอื่น

เจ้าของห้องพักของโรงแรมท้ัง 2 ประเภทจะมีรายได้เป็นค่าเช่าจากการให้เช่าห้องพัก

ของตน และจ่ายค่าธรรมเนียมแก้ผู้บริหารเพื่อเป็นค่าโฆษณาและค่าบำรุงรักษา ทำความสะอาด


2.8 โรงแรมกาสิโน (Casino Hotels)

โรงแรมที่มีบริการด้านการพนันจะจัดอยู่ในกลุ่มโรงแรมกาสิโน แม้ว่าห้องพักและ

ห้องอาหารขงโรงแรมประเภทนี้จะค่อนข้างหรูหรา แต่ก็เป็นกิจการส่วนที่ยังเป็นรองกิจการด้านการ

พนัน โรงแรมกาสิโนดึงแขกด้วยเรื่องการพนันและกิจกรรมบันเทิง ส่วนใหญ่จะมี

ห้องอาหารพิเศษต่าง ๆ และการแสดงฟลอโชว์ช้ันดี และบางแห่งอาจจัดเที่ยวบินเหมาลำไปรับแขก

ที่ประสงค์จะมาเล่นการพนัน กิจการด้านการพนันของโรงแรมบางแห่งเปิดวันละ 2-4 ชั่วโมงและปี

ละ 365 วันโดยไม่มีวันหยุด ซึ่งย่อมมีผลต่อการดำเนินงานของโรงแรมท้ังฝ่ายห้องพักฝ่ายและฝ่าย

อาหารเครื่องดื่มด้วย โรงแรมกาสิโนบางแห่งใหญ่โตมากขนาดมีห้องพักถึง 4,000 ห้องก็มี โดย

ห้องพักท้ังหมดอยู่ในอาคารหลังเดียวกัน ซึ่งปัจจุบันโรงแรมประเภทนี้มักอยู่ในประเทศที่มีกฏหมายอนุญาติให้เล่นพนันได้


2.9 ศูนย์ประชุม (Conference Centers)

ธุรกิจของศูนย์ประชุมที่มีการจัดประชุมกลุ่มใหญ่ ๆ ส่วนมากก็จะมีบริการด้านที่พัก

ด้วย และมีสิ่งอำนวยความสะดวก ที่จำเป็นต้องใช้ในการประชุม เช่น บริการทางวิชาการ

อุปกรณ์โสตทัศนูปกรณ์ที่มีคุณภาพสูง ศูนย์บริการธุรกิจ และอื่นๆ

ศูนย์การประชุมมักจะมีทำเลต้ังอยู่นอกเมืองและมีบริการด้านความบันเทิงและการ

พักผ่อนต่างๆ ให้ด้วย เช่น สนามกอล์ฟ สระว่ายน้ าท้ังแบบในร่มแลกลางแจ้ง ศูนย์สุขภาพห้อง

อาบน้ำแร่ ที่วิ่งออกกำลังกาย และอื่นๆ สำหรับค่าบริการก็มักจะคิดราคาแบแหมารวมทุกอย่าง ซึ่งได้แก่

ค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าใช้ห้องประชุม ค่าเช่าอุปกรณ์ต่าง ๆ และบริการที่เกี่ยวเนื่องอื่น ๆ 



2.10 ที่พักประเภทอื่น ๆ

นอกจากโรงแรมประเภทต่าง ๆ ดังที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ในต่างประเทศยังมีที่พักแบบ

อื่น ๆ อีกเช่น สวนสาธารณะ (Vehicle Parks) พื้นที่ส าหรับต้ังแคมป์ (Camp grounds) และ

สวนสาธารณะสำหรับจอดรถที่ดัดแปลงเป็นบ้าน (mobile home parks) ซึ่งล้วนมีลักษณะคล้าย

โรงแรมตรงที่ให้เช่าพื้นที่เพื่อพักค้างคืน เป็นต้น



ระดับมาตรฐานของโรงแรมและการให้ “ดาว”


วิธีจัดกลุ่มโรงแรมอีกแบบหนึ่งคือการแบ่งตามระดับมาตรฐานของบริการ ระดับมาตรฐาน

ของบริการได้จากการวัดผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่ให้แก่ผู้เข้าพัก เรื่องมาตรฐานของบริการนี้ไม่เกี่ยวกับ

ขนาดของโรงแรมหรือว่าเป็นโรงแรมประเภทไหน และในโรงแรมเดียวกันก็อาจจะมีระดับบริการ

หลายระดับก็ได้ ระดับมาตรฐานของบริการน้ันโดยทั่วไปจะพอดูได้จากอัตราค่าห้องพักนั่นเอง

ก่อนอื่นต้องเข้าใจเสียก่อนว่า กิจการโรงแรมน้ันไม่ได้ขายสินค้าที่จับต้องได้ (Tangible

products ) อย่างเช่นเตียงที่สะอาดหรืออาหารที่ดีมีประโยชน์เท่าน้ัน แต่อันที่จริงสิ่งที่ผู้เข้าพักจะจดจำและ

ประทับใจ คือบริการของโรงแรมซึ่งเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ (Intangible services) บริการต่าง ๆ

เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งของหรือวัตถุ แต่เป็นการกระทำ ซึ่งได้แก่วิธีปฏิบัติต่อผู้เข้าพัก ความสุภาพอ่อนน้อม ความ เอาใจใส่ความมีน้ำใจช่วยเหลืออำนวยความสะดวกต่อผู้เข้าพัก และการเอาอกเอาใจ ยกตัวอย่างเช่น อาหารที่เสริฟในห้องอาหารจะเป็นสิ่ง

ที่จับต้องได้ เมื่อพูดถึงบริการที่ดีในโรงแรมจะหมายรวมถึงปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ ด้วย ได้แก่ การ

ตกแต่งภายในโรงแรม และห้องพัก ทัศนคติและการแสดงออกของพนักงาน ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความสำคัญ


ในประเทศสหรัฐอเมริกามีองค์กรหลายแห่งที่จัดการประเมินและให้คะแนนบริการของโรงแรม

และกิจการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้เดินทาง ทีมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักดีที่สุด ได้แก่ สมาคมยานยนต์

สหรัฐฯ(The American Automobile Association หรือ AAA) และหนังสือคู่มือการเดินทางของโม

บิล (The Mobil Travel Guide) โรงแรมที่ AAA ให้คะแนนไว้สูงสุดจะได้รับเพชร 4 หรือ 4 เม็ด

(Diamonds) ส่วน Mobil Travel Guide จะให้ดาว 4 หรือ 5 ดวงแก่โรงแรมที่ได้คะแนนสูงสุด

การที่โรงแรมใดจะได้รับเพชร 5 เม็ด หรือดาว 5 ดวง น้ันเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะ

มาตรฐานที่ท้ัง 2 องค์กรต้ังไว้ค่อนข้างสูง ซึ่งรวมถึงว่าจะต้องรักษาระดับบริการให้คงที่ในทุกๆปีด้วย

 จะเห็นได้จากตัวเลขจำนวนโรงแรมประเภท 4 เพชร หรือ 4ดาว ซึ่งมีเป็นร้อย ๆ แห่งใน

ประเทศสหรัฐอเมริกา ในขณะที่ประเภท 5 เพชร หรือ 5 ดาสอยู่ไม่ถึง 50 แห่ง

ส่วนในประเทศอังกฤษ มีหน่วยงานหลายแห่งที่ทำการจัดกลุ่มโรงแรมและร้านอาหาร แล้ว

กำหนด “ดาว” (Star Rate) หรือ เครื่องหมายรับรองคุณภาพอย่างอื่น ให้ เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้เดินทางหรือนักท่องเที่ยวเลือกใช้บริการตามแบบที่ตนต้องการ เช่น สมาคมยานยนต์ หรือ Automobile

Association (AA) และราชยานยนต์สโมสร หรือ Royal Automobile Club (RAC)~ เป็นต้น การจัด

กลุ่มโรงแรมอย่างในกรณีของ AA นอกจากจะบอกให้รู้ว่าเป็นโรงแรมกลุ่มไหนแล้วยังถือได้ว่าเป็น

เครื่องหมายรับรองคุณภาพของโรงแรมแต่ละกลุ่มด้วย


การจัดกลุ่มโดยวิธีให้ดาวน้ัน แต่ละกลุ่มมีลักษณะแตกต่างกันดังนี้ :


  • กลุ่มดาวเดียว (1 Star)

หมายถึงโรงแรมที่มีขนาดเล็ก ๆ ที่สิ่งอำนวยความสะดวกและ

เฟอร์นิเจอร์แบบ ง่าย ๆ และพอใช้ได้ ห้องพักทุกห้องมีน้ำร้อนและน้ำเย็น

พร้อม มีห้องอาบน้ำและ ห้องส้วมพอเพียง (เป็นแบบที่แขกหลายห้องใช้

ร่วมกัน) มีบริการด้านอาหารและเครื่องดื่มสำหรับผู้พัก แต่อาจไม่บริการ

แก่บุคคลภายนอก โรงแรมกลุ่มนี้จะมีบรรยากาศเป็นกันเอง และส่วนมาก

เจ้าของโรงแรมจะเป็นผู้ดูแลบริหารงานเอง



  • กลุ่มสองดาว (2 Star)

ได้แก่โรงแรมที่มีมาตรฐานด้านห้องพักสูงกว่าดาวเดียว ซึ่งโดยทั่วไปอาจจะมีความคล้ายคลึงกับกลุ่มดาวเดียวเพียงแต่คุณภาพของห้องพัก ขนาด และสิ่งอำนวยความสะดวกอาจจะมีมากกว่ากลุ่มโรงแรมประเภทดาวเดียว


  • กลุ่มสามดาว (3 Star)

ได้แก่โรงแรมที่มีการตกแต่งดี ห้องพักกว้างขวาง มีสิ่งอำนวยความสะดวก

ต่างๆ หลายอย่าง เช่นมีร้านหรือห้องอาหาร บริการนวด หรืออื่นๆ


  • กลุ่มสี่ดาว (4 Star)

จะเป็นโรงแรมขนาดใหญ่ มีตกแต่งเป็นพิเศษ มีมาตรฐานสูง


  • กลุ่มห้าดาว (5 Star)

โรงแรมใหญ่ประเภทหรูหรา มีมาตรฐานระดับสากล มีสิ่งอำนวยความสะดวกและความบันเทิงให้กับผู้เข้าพักมากมาย




Comments